ในการศึกษาพืช นักวิทยาศาสตร์ได้จำแนกพืชออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ตามลักษณะเฉพาะ เช่น โครงสร้างใบ เมล็ด ดอก และราก ซึ่งหนึ่งในวิธีการจำแนกพืชที่พบมากที่สุดคือการแบ่งออกเป็น พืชใบเลี้ยงเดียว (Monocotyledons) และ พืชใบเลี้ยงคู่ (Dicotyledons)
ความแตกต่างระหว่างพืชใบเลี้ยงเดียวและพืชใบเลี้ยงคู่
1. จำนวนใบเลี้ยงในเมล็ด
- พืชใบเลี้ยงเดียว: มีใบเลี้ยงเพียงใบเดียวในเมล็ด ซึ่งใบเลี้ยงนี้เป็นใบแรกที่โผล่ออกมาจากเมล็ดเมื่อเริ่มงอก เช่น ข้าว ข้าวโพด และกล้วย
- พืชใบเลี้ยงคู่: มีใบเลี้ยงสองใบในเมล็ด โดยใบเลี้ยงทั้งสองจะเจริญเติบโตเป็นใบแรกๆ ของต้นพืช เช่น มะเขือเทศ ถั่ว และดอกทานตะวัน
2. ลักษณะของใบ- พืชใบเลี้ยงเดียว: ใบมีเส้นใบแบบขนาน ซึ่งเส้นใบจะเรียงตัวเป็นแนวตรงจากฐานของใบจนถึงปลายใบ เช่น ใบข้าว ใบหญ้า
- พืชใบเลี้ยงคู่: ใบมีเส้นใบแบบแตกแขนง (reticulate venation) โดยเส้นใบจะขยายออกเป็นรูปแบบคล้ายใยแมงมุมหรือขนนก เช่น ใบถั่ว ใบมะม่วง
3. ลักษณะของระบบราก
- พืชใบเลี้ยงเดียว: ระบบรากเป็นแบบรากฝอย (Fibrous root system) โดยมีรากจำนวนมากที่แตกออกจากฐานลำต้น เช่น ข้าวโพด กล้วย หญ้า
- พืชใบเลี้ยงคู่: ระบบรากเป็นแบบรากแก้ว (Taproot system) โดยมีรากหลักที่ยาวและแข็งแรงพร้อมกับรากเล็กๆ ที่แตกออกจากรากหลัก เช่น มะเขือเทศ แครอท
4. ลักษณะของดอก
- พืชใบเลี้ยงเดียว: จำนวนกลีบดอกมักเป็นจำนวนที่หารด้วยสามได้ เช่น ดอกกล้วยไม้มี 3 กลีบ ดอกหญ้ามี 6 กลีบ
- พืชใบเลี้ยงคู่: จำนวนกลีบดอกมักเป็นจำนวนที่หารด้วยสี่หรือห้าได้ เช่น ดอกทานตะวันมี 5 กลีบ ดอกถั่วมี 4 กลีบ
5. ลักษณะของลำต้น
- พืชใบเลี้ยงเดียว: ไม่มีการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นในแนวรัศมี (Secondary growth) ลำต้นมักจะไม่ขยายตัวเป็นไม้เนื้อแข็ง เช่น ข้าว และกล้วย
- พืชใบเลี้ยงคู่: มีการเจริญเติบโตในแนวรัศมี (Secondary growth) ซึ่งลำต้นสามารถขยายใหญ่ขึ้นเป็นไม้เนื้อแข็งได้ เช่น มะม่วง ถั่ว
ตารางเปรียบเทียบ
ลักษณะ | พืชใบเลี้ยงเดียว (Monocot) | พืชใบเลี้ยงคู่ (Dicot) |
จำนวนใบเลี้ยงในเมล็ด | 1 ใบเลี้ยง | 2 ใบเลี้ยง |
ลักษณะเส้นใบ | ขนาน | แตกแขนง |
ระบบราก | รากฝอย | รากแก้ว |
กลีบดอก | จำนวนหารด้วย 3 | จำนวนหารด้วย 4 หรือ 5 |
การเจริญของลำต้น | ไม่มีการเจริญในแนวรัศมี | มีการเจริญในแนวรัศมี |
สรุป:
พืชใบเลี้ยงเดียวและพืชใบเลี้ยงคู่มีความแตกต่างที่สามารถสังเกตได้จากลักษณะของเมล็ด ใบ ดอก ระบบราก และลำต้น การทำความเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้ช่วยให้เรารู้จักและจำแนกพืชได้ง่ายขึ้น