Last updated: 8 ต.ค. 2567 | 343 จำนวนผู้เข้าชม |
ภาษาอังกฤษมีเสียงหลายเสียงที่แตกต่างจากภาษาไทย ทำให้คนไทยหลายคนประสบปัญหาในการออกเสียงคำบางคำอย่างถูกต้อง การออกเสียงให้ถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยให้สื่อสารได้ชัดเจนขึ้น แต่ยังทำให้เราฟังดูเป็นธรรมชาติและมั่นใจมากขึ้นเมื่อพูดภาษาอังกฤษ ในบทความนี้จะนำเสนอเคล็ดลับการออกเสียงคำที่คนไทยมักสับสน พร้อมตัวอย่างและวิธีการฝึกฝน
1. เสียง /ʃ/ กับ /tʃ/
เสียงที่มักสับสนมากที่สุดคือเสียง /ʃ/ (sh) และ /tʃ/ (ch) คนไทยมักออกเสียง ship (เรือ) เป็น chip (มันฝรั่งทอดกรอบ) ซึ่งอาจทำให้ความหมายของประโยคเปลี่ยนไปได้
/ʃ/ (sh) เป็นเสียงที่นุ่มกว่า ออกเสียงโดยปล่อยลมผ่านลิ้น เช่นในคำว่า she, shoes, fish
/tʃ/ (ch) เป็นเสียงที่แรงกว่า มีการกระแทก เช่นในคำว่า chicken, chair, watch
วิธีฝึก:
ลองพูดคำว่า “sheep” (แกะ) และ “cheap” (ราคาถูก) แล้วสังเกตความแตกต่างของเสียง "sh" และ "ch" โดยเสียง "sh" จะฟังดูเบากว่า
2. เสียง /v/ กับ /w/
เสียง /v/ และ /w/ มักทำให้คนไทยออกเสียงสลับกันบ่อยๆ เนื่องจากในภาษาไทยไม่มีเสียง /v/
/v/ ออกเสียงโดยการกัดฟันบนกับริมฝีปากล่าง แล้วเป่าลม เช่นในคำว่า van, very, love
/w/ ออกเสียงโดยการเอาริมฝีปากมาชนกันเบาๆ แล้วเป่าลมออก เช่นในคำว่า water, window, white
วิธีฝึก:
ลองออกเสียงคำว่า "wine" (ไวน์) และ "vine" (ต้นองุ่น) แล้วสังเกตความต่างของการใช้ริมฝีปาก โดย "v" จะต้องมีการใช้ฟันกัดริมฝีปาก แต่ "w" ไม่ใช้ฟันเลย
3. เสียง /r/ กับ /l/
เสียง /r/ และ /l/ เป็นปัญหาที่พบบ่อยมากในคนไทย เนื่องจากเสียงเหล่านี้ใกล้เคียงกันในภาษาไทย ทำให้เรามักออกเสียงแทนกัน เช่นคำว่า rice (ข้าว) กลายเป็น lice (เหา)
/r/ ออกเสียงโดยการสั่นลิ้นเล็กน้อยในปาก เช่นในคำว่า red, run, car
/l/ ออกเสียงโดยการเอาปลายลิ้นแตะเพดานปาก เช่นในคำว่า love, look, ball
วิธีฝึก:
ลองพูดคำว่า “right” (ขวา) และ “light” (แสง) พร้อมเน้นการใช้ลิ้น โดยการออกเสียง "r" ลิ้นจะไม่แตะเพดาน แต่เสียง "l" ลิ้นจะต้องแตะเพดาน
4. เสียง /θ/ กับ /t/
เสียง /θ/ (th) กับ /t/ มักสับสนเพราะในภาษาไทยไม่มีเสียง /θ/ คนไทยจึงมักออกเสียง th เป็น t เช่นคำว่า think กลายเป็น tink ซึ่งทำให้ความหมายเปลี่ยนไป
/θ/ ออกเสียงโดยการเอาปลายลิ้นไปไว้ระหว่างฟันบนและฟันล่าง แล้วเป่าลมผ่านลิ้น เช่นในคำว่า think, three, thank
/t/ เป็นเสียงที่ออกโดยการกระแทกลมจากลิ้นที่อยู่หลังฟัน เช่นในคำว่า tea, top, table
วิธีฝึก:
ลองพูดคำว่า “think” (คิด) และ “tin” (กระป๋อง) แล้วสังเกตว่าการออกเสียง "th" จะต้องให้ปลายลิ้นแตะระหว่างฟัน แต่ "t" จะไม่แตะฟันเลย
5. เสียง /s/ กับ /z/
เสียง /s/ และ /z/ มักถูกสับสนในการออกเสียง โดยเฉพาะตอนลงท้ายคำที่เป็นพหูพจน์ (plural) หรือคำกริยาในรูป present tense (ปัจจุบัน) คนไทยมักออกเสียง /s/ ทั้งหมด เช่น “dogs” (หมาหลายตัว) ออกเสียงเป็น /dog-s/ แทนที่จะเป็น /dog-z/
/s/ เป็นเสียงที่ปล่อยลมผ่านฟันโดยไม่มีการสั่นสะเทือน เช่นในคำว่า see, sun, class
/z/ เป็นเสียงที่ออกเหมือนกันกับ /s/ แต่จะมีการสั่นของเส้นเสียง เช่นในคำว่า zebra, zero, rose
วิธีฝึก:
ลองวางมือที่คอแล้วพูดคำว่า "ice" (น้ำแข็ง) และ "eyes" (ตา) จะรู้สึกได้ถึงความต่าง เสียง "s" ไม่มีการสั่น แต่ "z" จะมีการสั่น
6. การลงท้ายคำว่า “-ed”
เมื่อคำกริยาผันเป็นรูปอดีตโดยการเติม -ed คนไทยมักออกเสียง "ed" ทุกคำว่า /id/ เช่น "walked" (เดิน) กลายเป็น /walk-id/ แทนที่จะเป็น /walkt/
คำกริยาที่ลงท้ายด้วยเสียงไม่ก้อง (voiceless) เช่น walk, laugh ให้เติม -ed ออกเสียงเป็น /t/ เช่น walked ออกเสียงว่า /walkt/
คำกริยาที่ลงท้ายด้วยเสียงก้อง (voiced) เช่น play, clean ให้เติม -ed ออกเสียงเป็น /d/ เช่น played ออกเสียงว่า /plaɪd/
คำกริยาที่ลงท้ายด้วย /t/ หรือ /d/ เช่น need ให้เติม -ed ออกเสียงว่า /id/ เช่น needed
วิธีฝึก:
ลองแยกคำกริยาออกเป็นสามกลุ่มตามกฎด้านบน แล้วฝึกออกเสียงคำที่มี -ed ให้ถูกต้อง เช่น talked (/tɔːkt/), played (/pleɪd/), waited (/weɪtɪd/)
สรุป
การออกเสียงภาษาอังกฤษให้ถูกต้องเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยการฝึกฝนและความเข้าใจในเสียงที่แตกต่างจากภาษาไทย การที่เรารู้ว่าคำไหนหรือเสียงไหนที่มักสับสนจะช่วยให้เราพัฒนาการพูดของเราให้ดีขึ้นได้ หากฝึกฝนบ่อยๆ ก็จะทำให้เรามั่นใจในการสื่อสารภาษาอังกฤษมากขึ้น
8 ต.ค. 2567
8 ต.ค. 2567
8 ต.ค. 2567